วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กลอนสุภาพ


กลอนสุภาพ



           กลอนสุภาพ มีหลายชนิด มีชื่อเรียกต่างๆกัน ถ้าเรียกชื่อตามจำนวนคำในวรรคก็มี เช่น กลอน ๖ กลอน ๗ กลอน ๘ กลอน ๘ เป็นกลอนสุภาพที่ได้รับความนิยมแต่งกันโดยทั่วไป ผู้ที่พัฒนากลอน ๘   ให้เป็นที่นิยมแต่งของกวีในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน คือ พระสุนทรโวหาร หรือ สุนทรภู่    



คำที่ควรรู้ในการแต่งบทร้อยกรอง


๑. บท คือ คำประพันธ์ ๑ ตอน ที่มีองคแประกอบของฉันทลักษณ์ (ข้อบังคับของคำประพันธ์) ครบถ้วน เช่น กลอนสุภาพ ๑ บท จะมี ๔ วรรค ดังนี้
                       แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์                 มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
                  ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด                   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
(พระอภัยมณี)

๒. บาท เป็นส่วนหนึ่งของบท กลอนสุภาพ ๑ บาท มี ๒ วรรค ดังนี้
                       ฝ่ายขุนช้างหมางจิตให้คิดแค้น                 ลูกขุนแผนมั่นคงไม่สงสัย
                                 ( วรรคที่ ๑ )                                             ( วรรคที่ ๒ )

๓. วรรค คือ จำนวนคำ ๑ กลุ่ม ที่คำประพันธ์แต่ละประเภทกำหนดไว้ กลอนสุภาพ ๑ วรรค จะมีจำนวน คำ ๗ – ๙ คำ เช่น ถึงบางพูด พูดดี เป็นศรีศักดิ์ ( ๑ วรรค ในที่นี้มี ๘ คำ )


๔. คำ
คำที่ใช้ในฉันทลักษณ์ มีความหมายถึงเสียงที่พูดออกมา การนับคำทางฉันทลักษณ์ จึงต่างจากการนับคำทางไวยากรณ์

ตัวอย่างการนับคำทางไวยากรณ์
      มนุษย์ นับเป็น ๑ คำ เนื่องจากมี ๑ ความหมาย
      กำหนด นับเป็น ๑ คำ เนื่องจากมี ๑ ความหมาย
      เถาวัลย์ นับเป็น ๑ คำ เนื่องจากมี ๑ ความหมาย
เมื่อนำคำเหล่านี้ไปใช้ในการแต่งบทร้อยกรอง จะเปลี่ยนเป็นการนับคำทางฉันทลักษณ์ ซึ่งเป็นข้อบังคับของการแต่งบทร้อยกรองที่เกี่ยวกับจำนวนคำ เช่น
      แล้วสอนว่า อย่าไว้ใจมนุษย์ (คำว่า มนุษย์ นับเป็น ๒ คำ อ่านว่า มะ – นุด เพื่อให้ครบ ๘ คำ)
      มันแสนสุด ลึกล้ำเหลือกำหนด (คำว่า กำหนด นับเป็น ๒ คำ)
      ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด (คำว่า เถาวัลย์ นับเป็น ๒ คำ) 

๕. สัมผัส คือ ลักษณะบังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดในร้อยกรองทุกประเภท
สัมผัสที่นิยมในภาษาไทยมี ๒ ชนิด คือ
๑. สัมผัสสระ ได้แก่ คำที่มีเสียงสระพ้องกันตามมาตรา เช่น
          ดี – ปี – มี – สี่ // มา – นา – ยา // โต – โค – โซ่ 
ถ้าเป็นคำที่มีตัวสะกดก็ต้องเป็นตัวสะกดในมาตราตัวสะกดแม่เดียวกัน เช่น 
          บาน – มาร – คลาน – ผลาญ // เรียว – เพรียว – เสียว – เปรี้ยว // แล้ว – แคล้ว – แถว – แมว
๒. สัมผัสอักษร ได้แก่ คำที่ใช้พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน อาจเป็นตัวอักษรที่เป็นพยัญชนะ
เดียวกันหรือพยัญชนะที่มีเสียงสูงต่ำเข้าคู่กันได้หรือพยัญชนะควบชุดเดียวกันก็ได้ เช่น 
          สาย–ซาก–สุข– ศรี//กลับ – กลาย – ใกล้– กลัว

ประเภทของสัมผัส สัมผัสทั้ง ๒ ชนิดดังกล่าว ยังแบ่งเป็น ๒ ประเภทอีก คือ
๑. สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับ ได้แก่ คำสัมผัสที่ส่งและรับกันนอกวรรค เช่น ในกลอน ๘ คำ
สุดท้ายของวรรคแรกจะสัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๕ ของวรรคต่อไป สัมผัสนอก ใช้เฉพาะสัมผัสสระเท่านั้น เช่น อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
๒. สัมผัสใน เป็นสัมผัสไม่บังคับ มีคำสัมผัสคล้องจองกันอยู่ภายในวรรคเดียวกัน อาจเป็นสัมผัส สระ หรือ สัมผัสอักษรก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม และความพอใจของผู้ประพันธ์  เช่น
                  แล้วย่อง เหยียบ เลียบ เนิน ลงเดินล่าง          ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว
              คำว่า ย่อง และ เหยียบ เป็นการสัมผัสอักษร ย
              เหยียบ และ เลียบ เป็นการสัมผัสสระ
              เนิน และ เดิน เป็นการสัมผัสสระ

๖. เสียงวรรณยุกต์ ผู้ที่เริ่มฝึกหัดแต่งบทร้อยกรอง ควรมีความรู้ เกี่ยวกับเสียงวรรณยุกต์ เนื่องจากเสียงวรรณยุกต์ที่เหมาะสม จะช่วยให้บทร้อยกรองมีความไพเราะ
เสียงวรรณยุกต์มี ๕ เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และ เสียงจัตวา
ในการแต่งบทร้อยกรอง ผู้แต่งจึงต้องคำนึงถึง “ เสียง ” เป็นสำคัญ




ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพ

ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพ

        ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพ ซึ่งจะขอยกตัวอย่าง กลอนสุภาพแต่ละชนิด คือ กลอน ๖ กลอน๗ กลอน๘ ดังนี้

     กลอน๖


         ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอนหก พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลายนอกนั้นก็แทรกอยู่ในกลอนบทละคร แต่ที่ใช้แต่ตลอดเรื่องเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ กนกนคร ของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.)
กลอนหก บทหนึ่งประกอบด้วย ๒ บาท บาทละ ๒ วรรค วรรคละ ๖ คำ
สัมผัสนอก ให้มีสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำที่สองของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สองของบทถัดไป        
สัมผัสใน ไม่บังคับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสัมผัสระหว่างคำที่สองกับคำที่สาม หรือระหว่างคำที่สี่กับคำที่ห้าของแต่ละวรรค

กฎสัมผัสบังคับของกลอนหก
      พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ บังคับให้สัมผัสกับพยางค์ที่ ๒ ของวรรคที่ ๒ (บางครั้งให้สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๔ ของวรรคที่ ๒ ก็ได้)
      พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ บังคับให้สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓
      พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ บังัคบให้สัมผัสกับพยางค์ที่ ๒ ของวรรคที่ ๔ (บางครั้งให้สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๔ ก็ได้)
      พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๔ บังคับให้สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทต่อไป ซึ่งเรียกว่า การสัมผัสระหว่างบทการอ่านกลอนหก กลอนหก แบ่งวรรคการอ่านเป็น ๒/๒/๒

 

  กลอน ๗

                   เป็นบทประพันธ์ที่กำหนดให้มีวรรคละ ๗ คำ บางวรรคอาจมี ๘ คำได้ เพราะเป็นคำผสม การส่งสัมผัส คำสุดท้ายของกลอนสดับส่งไปยังคำที่ ๒ หรือที่ ๓ ของกลอนรับ คำสุดท้ายของกลอนรับส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของกลอนรอง คำท้ายของกลอนรอง ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๒ หรือที่ ๓ ของกลอนส่ง คำสุดท้ายของกลอนส่ง ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของกลอนรับในบทต่อไป มีแผนผังและตัวอย่างดังนี้

      กลอน๘

                  กลอนแปดเป็น คำประพันธ์อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป เพราะเป็นร้อยกรองชนิดที่มีความเรียบเรียงง่ายต่อการสื่อความหมาย และสามารถสื่อได้อย่างไพเราะ ซึ่งกลอนแปดมีการกำหนดพยางค์และสัมผัส มีหลายชนิดแต่ที่นิยมคือกลอนสุภาพ





การแต่งกลอน๘

การแต่งกลอน ๘ 

กลอนสุภาพที่นิยมแต่งกัน คือ กลอน ๘ มีลักษณะบังคับ ดังนี้
๑. บทหนึ่งมี ๔ วรรค วรรคละ ๗ – ๙ คำ ที่นิยมกันคือ วรรคละ ๘ คำ วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ วรรคที่ ๒ เรียกว่า วรรครับ วรรคที่ ๓ เรียกว่า วรรครอง และ วรรคที่ ๔ เรียกว่า วรรคส่ง
๒. สัมผัสนอก ซึ่งเป็นสัมผัสสระบังคับ ดังนี้
การนำเสียงวรรณยุกต์มาใช้ในการแต่งกลอน ๘ การแต่งกลอนให้ไพเราะจะต้องคำนึงถึงเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งความไพเราะจะอยู่ที่เสียงท้ายวรรคของแต่ละวรรค โดยมีข้อสังเกต และนำไปใช้ ดังนี้
       คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ (วรรคสดับ) ใช้ได้ทุกเสียงแต่ไม่นิยมเสียงสามัญ
       คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ (วรรครับ) นิยมใช้เสียงเอก โท หรือ จัตวา
       คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และ๔(วรรครอง และวรรคส่ง)ใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรี(ใช้เสียงสามัญ  จะฟังได้ดีกว่า)


ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

      ในการแต่งคำประพันธ์ร้อยกรองทุกชนิด นอกจากผู้แต่งต้องเข้าใจลักษณะบังคับดังกล่าวแล้ว         จะต้องรู้จักเลือกใช้คำให้หลากหลายเพื่อให้เกิดความไพเราะและช่วยในการรับส่ง สัมผัส หากใช้คำหนึ่งแล้วไม่อาจสัมผัสกันได้ก็ใช้อีกคำหนึ่ง ซึ่งมีความหมายเดียวกัน เช่น

ดอกไม้ - ผกา บุปผา มาลี มาลา
ผู้หญิง - นงคราญ นงราม กัลยา นารี บังอร
ป่า - ดงไพร พนา พนาวัน ดงดอน
โกรธ - ขัดเคือง โมโห โกรธา กริ้ว
นก - สกุณา ปักษา สกุณี

            กลอนสุภาพแปดคำประจำบ่อน             อ่านสามตอนทุกวรรคประจักษ์แถลง
      ตอนต้นสาม ตอนสอง สองแสดง                 ตอนสามแจ้ง สามคำ ครบจำนวน
      กำหนดบทระยะกะสัมผัส                             ให้ฟาดฟัด ซัดความ ตามกระสวน
      วางจังหวะ กะทำนอง ต้องกระบวน              จึงจะชวน ฟังเสนาะ เพราะจับใจ
                  ( หลวงธรรมาภิมณฑ์ , ๒๕๑๔ : ๕๙ )




แบบทดสอบ

แบบทดสอบ

คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
๑. คำสุดท้ายของวรรคส่งนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ใด
ก. โท
ข. เอก
ค. สามัญ
ง. จัตวา


๒. “จึงควรไทยสามัคคีเพื่อพี่น้อง ร่วมปกป้องความเป็นไทยมิให้หาย” คำในข้อใดเป็นสัมผัสนอกในบทประพันธ์
ก. ไท – ให้
ข. น้อง – ป้อง
ค. ปก – ป้อง
ง. สามัคคี – พี่


๓. ข้อใดเรียงลำดับได้ถูกต้อง
ก. รับ รอง สดับ ส่ง
ข. รอง รับ สดับ ส่ง
ค. สดับ รับ รอง ส่ง
ง. สดับ รอง รับ ส่ง


๔. ข้อความในข้อใดควรเป็นวรรครับ
ก. ตูมตั้งบังใบอรชร
ข. นิลบลพ้นน้ำขึ้นรำไร
ค. น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
ง. ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว


๕. “ไทยยืนหยัดพึ่งภัยได้……………ด้วยสืบเนื่องพระบารมีจักกรีวงศ์” ข้อความใดต่อไปนี้ ควรเติมลงในช่องว่างให้ได้ใจความชัดเจน
ก. ลือเลื่อง
ข. รุ่งเรือง
ค. ประเทือง
ง. ไม่สิ้นเปลือง


๖. “เฝาถนอมกลอมเกลี้ยงไมเลี่ยงหลบ
     ขาวปลาครบแมจัดหามาทั้งสิ้น
     แมนเหนื่อยยากลําบากเนื้อหยาดเหงื่อริน
     ลูกมีกินสุขกายสบายพอ”
บทรอยกรองขางตนนี้กลาวถึงเรื่องใด
ก. ความรักของหนุมสาว
ข. ความรักของแมที่มีตอลูก
ค. ความรักของลูกที่มีตอแม
ง. ความทุกขของแมที่ตองเลี้ยงลูก


๗. จากบทรอยกรองขอ 6 ขอใดเปนสัมผัสใน
ก. สิ้น-ริน
ข. ริน-กิน
ค. หลบ-ครบ
ง. เกลี้ยง-เลี่ยง


๘. คำตอบใดคือคำสัมผัสระหว่างบทของคำประพันธ์ต่อไปนี้
“จำเรียงรักษ์อักษรผ่านกลอนกาพย์          บ่งซึ้งซาบรสกวีศรีสยาม
  สุนทรภู่ ครูกลอนกระฉ่อนนาม                ทั่วเขตคามคราอ่านพล่านอารมณ์
  ทั้งแว่วหวานตาลหยดมดตอมไต่            โอดอาลัยโศกเศร้าเคล้าทุกข์ถม
  ไหลลดเลี้ยวทะเล้นล้วนโลมลม              พอกเพาะบ่มสั่งสอนแทรกซ้อนธรรม”
ก. สยาม – นาม
ข. นาม – คาม
ค. รมณ์ – ถม
ง. ถม – ลม


๙. ข้อใดมีสัมผัสระหว่างวรรค
ก. นำกลกลอนลีลามาเชิดชู ตามแบบครูชี้แนะให้แกะรอย
ข. พรมชีวิตชุ่มชื่นให้พืชพันธุ์ มอบแมกไม้มวลมนุษย์สุดพรรณนา
ค. แก้วประกายพรายพร่างทางกลอนแก้ว วามวับแวมวาดลายไว้งามหรู
ง. ละอองโปรยเปียกปอนตอนเย็นย่ำ สายฝนพรมพรูพร่างสร้างสุขสรรค์


๑๐. วรรคใดมีสัมผัสในที่เป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรเด่นชัดที่สุด
ก. ไพเราะคำนำใจให้เป็นสุข
ข. ปราศจากทุกข์ได้เพียงเสียงเสนาะ
ค. อันร้อยกรองพ้องเสียงเพียงจำเพาะ
ง. ไทยสืบเสาะสานเสกเอกลักษณ์


เฉลย
๑. ง ๒. ก ๓. ค ๔. ง ๕. ข ๖. ข ๗. ค ๘. ค ๙. ก ๑๐. ง



    




วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

แนะนำตนเอง







ข้อมูลที่น่าสนใจ


ชื่อ ชฎาพร  นามสกุล  โพธิ์ภักดี  ชื่อเล่น มุก


เกิดวันที่ 17 มีนาคม 2538


กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม

ติอต่อ 095-7484391, FB. https://www.facebook.com/mookmikchadaporn